คำถามง่ายๆที่ตอบยากนี้ เรามีคำตอบอย่างไร?
วงเงินประกันชีวิตที่มากพอ อาจไม่ได้อยู่ที่การคำนวณรายได้หรือทรัพย์สินอย่างในตำราหรือที่สอนกันในชั้นเรียน
วงเงินประกันชีวิตที่มากพออาจต้องคำนวณจากสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของแต่ละคน ว่าอะไรที่สำคัญต่อชีวิตของเขาจริงๆ และสิ่งนั้นคิดเป็นเงินสักเท่าไหร่ นั่นแหละจึงจะเป็นวงเงินประกันชีวิตที่แท้จริงสำหรับคนๆนั้น จึงไม่มีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับทุกคน จนกว่าเขาจะคิดอย่างจริงจังว่าเขาต้องการบรรลุสิ่งใดในชีวิต
ถ้าเราลองคิดถึงครอบครัวที่รักกันมาก มีลูกๆที่ยังเล็กอยู่ในบ้าน เขาต้องการบรรลุเรื่องอะไรบ้าง? ถ้าเขาต้องจากไปก่อน
สามเรื่องใหญ่ๆที่ทุกคนอยากทำให้ได้คือ เตรียมเงินให้พอที่จะชำระหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด, เตรียมเงินให้พอสำหรับทุนการศึกษาของลูกจนถึงระดับมหาวิทยาลัย และมีรายได้ทดแทนเพียงพอสำหรับคนที่เขารักอย่างต่อเนื่อง
สองเรื่องแรกดูจะคำนวณได้ไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนี้สินที่ค้างชำระย่อมมียอดเงินที่ชัดเจนอยู่แล้ว, ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของลูก ก็หาตัวเลขได้ไม่ยาก
แต่เรื่องรายได้ทดแทนนี่สิ จะคิดกันอย่างไร เราอาจเรียกมันว่าการคำนวณค่าใช้จ่ายในโลกใบเดิมก็ได้
ค่าใช้จ่ายในโลกใบเดิม หรือไลฟ์สไตล์ในแบบเดิม อาจฟังดูเป็นละครสักหน่อย แต่มันหมายถึงอะไร?
ความเป็นจริงข้อหนึ่งคือ “ความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นทันที เมื่อเราคุ้นชินกับมันแล้ว”
สิ่งที่เราต้องการทดแทนรายได้เพื่อให้มีไลฟ์สไตล์ในแบบเดิมเมื่ออายุ 25 ปี อาจแตกต่างอย่างมากเมื่อเรามีอายุ 35 และต่างออกไปอีกเมื่ออายุ 45 ปี
สมมุติว่าชายคนหนึ่งทำงานมาด้วยดี มีความก้าวหน้าเติบโตตามลำดับ สร้างเนื้อสร้างตัวมาจนถึงอายุ 40 ปี แล้วต้องจากไปก่อน
เมื่อรายได้ของเขาหายไป ครอบครัวของเขาจะกลับไปใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์แบบเดิมเมื่ออายุ 25 อีกได้ไหม?
ย่อมไม่ได้แล้ว ครอบครัวของเขาคุ้นชินกับชีวิตแบบที่เป็นอยู่ บ้านที่เคยอยู่ในย่านที่เคยอยู่ และโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ตอนนี้ ไม่มีใครอยากย้อนกลับไปสิบหรือยี่สิบปีก่อน ถ้าเขายังอยู่ ชายคนนี้อาจมีศักยภาพที่จะทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกมาก รวมถึงการเลื่อนตำแหน่ง หรือสร้างผลงานมากมาย ซึ่งไม่มีอะไรจะรับประกันได้
สิ่งที่เราต้องการคือประกันชีวิตมากพอจนมั่นใจว่าครอบครัวจะได้อยู่ในโลกใบเดิม ในไลฟ์สไตล์แบบเดิมที่เป็นอยู่ตอนนี้ตลอดไป ถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีบริษัทประกันใดที่ขายประกันชีวิตให้เรามากพอเลย
ถ้าเราเชื่อว่าการประกันชีวิตเป็นจดหมายรักฉบับสุดท้ายที่เราจะเขียนถึงครอบครัวที่เรารัก เราคงต้องการให้มันมากพอจริงๆ แล้วเราจะยอมจ่ายสักเท่าไหร่?
บางคนจ่ายค่าสมาชิกเคเบิ้ลทีวีเดือนละไม่ใช่น้อย ถ้าเขาสามารถมีประกันชีวิตมากพอ ด้วยเบี้ยประกันที่ถูกกว่าราคาของความบันเทิงทั้งหลายที่เขาจ่ายอยู่ทุกเดือนล่ะ เขาจะยอมจ่ายไหม?
ถ้าชายคนที่อายุ 40 ปีรู้ตัวว่าต้องจากไปก่อน เช่นป่วยด้วยโรคร้ายแรง เขาต้องมีสิ่งที่ต้องกังวลมากมาย ทั้งความเครียด และความหวาดวิตก ยิ่งเขารู้ว่าคนที่เขารักต้องพึ่งพาทางการเงินจากเขา ถึงแม้เราจะไม่เคยมีประสบการณ์นั้น แต่ก็พอนึกภาพออก
ความแตกต่างอยู่ที่ว่า เมื่อเขามีประกันชีวิตมากพอ ความกังวลในเรื่องการเงินก็หมดไป ไม่ว่าหนี้สินที่ต้องชำระ, ทุนการศึกษาของลูก หรือเรื่องอื่น ครอบครัวของเขาจะได้อยู่ในโลกใบเดิม ไม่ต้องขายบ้าน ไม่ต้องย้ายโรงเรียนลูก และไม่ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่คุ้นชิน
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยหมึกเพียงไม่กี่หยด และปากกาที่เขาเซ็นชื่อในใบสมัคร เขาได้ซื้อประกันชีวิตเป็นของขวัญแห่งความรักให้แก่คนที่มีความหมายกับเขามากที่สุดในโลก แล้วเขาก็สบายใจได้ว่าเขาได้ทำสิ่งที่ควรทำอย่างดีที่สุดแล้ว ที่จะรับประกันว่าครอบครัวของเขาจะอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป
ความสบายใจนี้เป็นสิ่งที่ซื้อหาไม่ได้ และประมาณค่าไม่ได้ นั่นแหละจะตอบคำถามที่ว่าทำไมเราจึงควรซื้อประกันให้มากที่สุดเท่าที่บริษัทจะรับประกันได้ เพราะประกันชีวิตที่เรามีอยู่มักไม่เคยมากพอเลย
#THAIFA
ใส่ความเห็น