“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัวช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๒
ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสของพระองค์หลายต่อหลายครั้ง ที่ทรงให้ความสำคัญต่อการออมเป็นอย่างยิ่ง
คำสอนของในหลวงรัชกาลที่9 เราสามารถมาปรับใช้และสอนคนในครอบครัวของเราได้ เพราะในปัจจุบันการออมเงินแตกต่างจากสมัยก่อน เพราะมีสินทรัพย์ทางการเงินเกิดขึ้นมากมายให้เลือกลงทุน
เมื่อเด็กเติบโตจนกระทั่งเรียนเรื่องการคำนวณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แล้ว ควรทำให้เด็กรู้ว่าที่กำลังเรียนอยู่นี้ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบแล้วก็ลืมไปเท่านั้น เราอาจจะนำตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคารแบบออมทรัพย์หรือฝากประจำ แล้วก็สอนการคำนวณจากตัวอย่างจริง เพื่อให้รู้ว่าการเงินเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรา
แนวคิดด้านการเงิน ทรงปลูกฝังความพอเพียง
>> การรู้จัก “พอเพียง” ใช้จ่ายเท่าที่มี ไม่ยึดติดกับค่านิยม หรือวัตถุ ใช้จ่ายซื้อสิ่งของบางอย่างที่ไม่จำเป็น แล้วก็อยากซื้อเพื่อจะได้เหมือนคนอื่น หรือซื้อเพราะโฆษณา โปรโมชั่น ช่วยให้เงินเก็บเพิ่มมากขึ้นและสร้างความมั่นคงของชีวิตในอนาคตได้อีกด้วย
>> เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน สามารถนำเงินที่เก็บไว้มาใช้จ่ายโดยที่ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ดังนั้น ความพอเพียงปลูกฝังได้ด้วยการกระทำ การมองโลกอย่างเข้าใจในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
>> เมื่อพระองค์นำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูกเก็บภาษี ด้วยการต้องนำมาหยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือน สมเด็จย่าจะทรงเรียกประชุมเพื่อสอบถามความคิดเห็นว่า จะนำเงินสะสมที่ได้จากการเก็บภาษีไปใช้ทำอะไร เช่น อาจจะนำไปมอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน เป็นต้น
>> นอกจากการออมแล้ว ในหลวงรัชกาลที่9 ยังเป็นผู้ที่รู้จักนำเงินที่ออมได้มาลงทุนควบคู่กันไปด้วย เห็นได้จากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ที่เริ่มต้นลงทุนจากเงินสะสมส่วนพระองค์เพียง 32,866 บาท จนกลายเป็นโครงการที่เติบโตมาถึงทุกวันนี้
> เราสามารถนำเรื่องราวนี้มาประยุกต์ใช้กับตนเองได้ ในเรื่องของการสร้างรายได้ โดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เมื่อทำจนประสบความสำเร็จแล้วมีกำไรก็ค่อย ๆ ขยายให้เติบโตมากขึ้น
ในการจัดการบริหาร การประหยัดเงินนั้น ทำได้โดยจัดสรรปันส่วนแบ่งเงินรายได้ ออกมาเป็น 3 ส่วน คือ
นอกจากนี้เราควรรู้จัก“การให้” จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน เสียสละ เห็นใจผู้อื่น และกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวในเรื่องการรับผิดชอบต่อสังคม และยังให้เห็นคุณค่าที่เราเองได้หยิบยื่นให้ผู้อื่นอีกด้วย ตามกำลังทรัพย์ที่มีและไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป
เรื่องราวเหล่านี้ที่พระองค์ทรงปฎิบัตินั้นทำให้เรารู้ว่า การประหยัดเป็นวิธีการที่เราเริ่มทำได้ทันที
โดยการใช้ของที่มีให้หมด ใช้ให้คุ้มค่าที่สุด สมดั่งที่ทรงเป็นต้นแบบด้านการอดออม และบริหารเงินอย่างพอเพียงให้กับเราชาวไทย
ซึ่งทุกคนสามารถนำแนวทางดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อความเจริญรุ่งเรื่องของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไป
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความ Kapool,dhammathai