หากพูดถึงค่าใช้จ่ายหลักๆ ของมนุษย์เงินเดือน คงหนีไม่พ้นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต และอีกสารพัดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น ค่าโทรศัพท์ ค่าภาษีสังคม ค่าช้อปปิง สังสรรค์ปาร์ตี้
ไหนจะค่ากาแฟ ค่าหวย ค่าชานมไข่มุก อีกจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีรายรับแค่ทางเดียวแต่ต้องจ่ายหนี้หลายทาง
เราควรจะมีภาระหนี้ต่อเดือนเท่าไหร่ ถึงจะไม่หนักเกินไป ?
1 หนี้ผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 30 % ของรายได้ แต่ถ้าคุณไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆ ก็สามารถเพิ่มเป็น 50 %เพราะยิ่งผ่อนเร็ว คุณก็จะยิ่งหมดหนี้เร็วขึ้นเท่านั้น
2 หนี้ผ่อนรถ จำนวนเงินที่ใช้ผ่อนรถแต่ละเดือน ควรอยู่ราวๆ 20 % ของรายได้ หากมากกว่านี้อาจจะหนักเกินไป
3 หนี้บัตรเครดิต พยายามควบคุมการรูดบัตรให้ดี อย่ารูดซื้อสินค้าจนเพลินจะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับยอดเรียกเก็บทีหลังที่สำคัญยอดชำระหนี้ ไม่ควรให้เกิน 10 -20 % ของรายได้
4 หนี้สินรวม ไม่ว่าคุณจะกู้เพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือ อื่นๆ ไม่ควรให้เงินที่ต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดเกิน 40 % ของรายได้
*** สมมติคุณมีรายรับต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท
ต้องจ่ายค่าบ้านเดือนละ 9,000 บาท ค่างวดรถเดือนละ 6,000 บาท และหนี้บัตรเครดิตอีก 1,000 บาท
รวมแล้วคุณมีหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือน 16,000 บาท คิดเป็น 53 % ของรายได้ ….แบบนี้เท่ากับมีภาระหนี้เกินตัว
จะเกิดอะไรขึ้น หากมีภาระหนี้เกินตัว ?
ถ้ายอดหนี้เกิน 50 % คุณอาจมีความเสี่ยงที่เงินจะไม่พอใช้จ่าย และเสี่ยงที่จะต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น เช่น การจ่ายบัตรเครดิตไม่เต็มจำนวน ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยสูงถึง 18 % ต่อปี หนี้ก็จะยิ่งพอกพูน และนำไปสู่ปัญหาในการผ่อนชำระหนี้ในอนาคตได้ในท้ายที่สุด และอย่าลืมว่าปัญหาหนี้ เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์เงินเดือนด้วย
หากกำลังเผชิญกับภาระหนี้เกินตัว ต้องทำอย่างไร ?
แนะนำว่า ควรทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายอย่างละเอียด เพื่อหาทางอุดรูรั่วการใช้เงินให้ดี และควรหารายได้เพิ่มเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช่จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าจะให้ดี ถ้าคิดจะสร้างหนี้แล้ว ก็ต้องถามตัวเองให้ดีก่อนว่า มีความสามารถในการผ่อนชำระไหวแค่ไหน เพื่อไม่ให้หนี้เป็นภาระกับชีวิตมากเกินไป
ใส่ความเห็น